FREQUENTLY ASKED QUESTIONS
ข้อสงสัยของคุณ สามารถหาคำตอบได้ที่นี่
คำถามทั่วไป
1. NestiFly คืออะไร
NestiFly คือแพลตฟอร์มสินเชื่อออนไลน์ระหว่างบุคคลกับบุคคล ในรูปแบบของ Peer-to-Peer Lending Platform (P2P Lending) เปรียบเสมือนตลานสินเชื่อออนไลน์ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างผู้ขอสินเชื่อที่มีคุณภาพให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้สะดวกยิ่งขึ้นกับนักลงทุนที่กำลังมองหาช่องทางใหม่ๆ ในการสร้างผลตอบแทน ผ่านระบบ Smart Contract บนเทคโนโลยี Blockchain
3. Peer-to-Peer Lending คืออะไร และอยู่ภายใต้กฏหมายใด
8. LTV (Loan-to-Value) คืออะไร
LTV หรือ Loan-to-Value คือ อัตราส่วนมูลค่าสินเชื่อต่อหลักทรัพย์ค้ำประกัน เช่น ถ้าหลักทรัพย์ของคุณมีมูลค่า 1,000,000 บาท และคุณเลือกระดับ LTV ที่ 40% นั่นหมายความว่า คุณต้องการสินเชื่อมูลค่า 400,000 บาท เป็นต้น
4. สิ่งที่ผู้ใช้บริการต้องเตรียมสำหรับการลงทะเบียนและกระบวนการพิสูจน์ตัวตนมีอะไรบ้าง
1. บัตรประชาชน (ตัวจริง)
2. พาสปอร์ต (เล่มจริง)
3. โทรศัพท์มือถือระบบแอนดรอย์ (Android) ที่รองรับเทคโนโลยี NFC
6. กรณีที่คุณไม่มีโทรศัพท์มือถือที่มีเทคโนโลยี NFC จะต้องทำอย่างไร
ในปัจจุบันเทคโนโลยี NFC ยังใช้ได้แค่ในโทรศัพท์ระบบแอนดรอยด์ (Andriod) ในบางรุ่นเท่านั้น ดังนั้นในกรณีที่ผู้ใช้บริการไม่มีโทรศัพท์แอนดรอยด์ที่มีเทคโนโลยี NFC ทีม NestiFly แนะนำให้ผู้ใช้บริการหาโทรศัพท์เทคโนโลยี NFC เครื่องอื่น ช่วยในการทำขั้นตอนการพิสูจน์ตัวตน หรือติดต่อเข้ามาที่ NestiFly เพื่อให้เราได้ส่งทีมดูแลลูกค้าไปช่วยผู้ใช้บริการในการดำเนินขั้นตอนการพิสูจน์ตัวตน
7. ถ้าสแกน Passport ไม่ผ่านต้องทำอย่างไร
ในกรณีที่คุณสแกน Passport ไม่ผ่านอาจจะมีสาเหตุมาจากหลายสาเหตุ กรุณาควรตรวจสอบตามขั้นตอนดังข้อต่อไปนี้
- ตรวจสอบข้อมูล Passport ที่กรอกไปก่อนหน้านี้ว่า ข้อมูลถูกต้องครบถ้วนหรือไม่
- หมายเลข Passportจะต้องเป็นอักษรภาษาอังกฤษพิมพ์ใหญ่เท่านั้น
- วันเดือนปีเกิดและวันหมดอายุของ Passport จะต้องใส่เป็น ค.ศ.
- ตรวจสอบว่าสมาร์ทโฟนของคุณเปิดใช้งานฟังก์ชั่น NFC หรือยัง โดยสามารถตรวจสอบได้ในแอป setting ของแต่ละเครื่อง
- ทดลองเปลี่ยนตำแหน่งในการสแกนพาสปอร์ต
9. LTV Alert และ Forced Sale คืออะไร
ในระหว่างระยะเวลาสินเชื่อ ระบบ NestiFly จะมีการติดตามมูลค่าหลักประกันของสินเชื่อเป็นรายวัน เพื่อคำนวณระดับ LTV ของแต่ละสัญญาเงินกู้
- LTV ALERT (ระดับ LTV ≥65 %) - หากระดับ LTV ของสัญญาเงินกู้แตะที่ระดับ LTV ≥65 % ระบบ NestiFly จะดำเนินการแจ้งเตือนผู้กู้ (LTV Alert) เพื่อให้ผู้กู้ดำเนินการแก่ไขเพื่อปรับลดระดับ LTV ให้กลับสู่ระดับเริ่มต้น
- FORCED SALE (ระดับ LTV ≥ 75%) - หากระดับ LTV ไต่ระดับขึ้นไปอยู่ในระดับ LTV ≥ 75% ระบบ NestiFly จะดำเนินการบังคับขายหลักประกัน (Forced Sales) เพื่อชำระหนี้
- Forced Sale (หลังครบกำหนดสัญญา) – หากผู้กู้ผิดนัดชำระและ/หรือชำระหนี้คืนภายในระยะเวลาที่กำหนด ระบบ NestiFly จะดำเนินการบังคับขายหลักประกันเพื่อชำระหนี้คืน
5. เทคโนโลยี NFC (Near-Field Communication) คืออะไร และใช้งานอย่างไร
NFC หรือ Near Field Communication คือเทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูลไร้สายระยะสั้นประเภทหนึ่ง ที่สามารถส่งต่อข้อมูลด้วยคลื่นความถี่ในระยะใกล้ระหว่างโทรศัพท์แบบ smart phone หรือ Tablet ต่าง ๆ ได้ โดย NestiFly นำเทคโนโลยีตัวนี้มาใช้ในขั้นตอนการพิสูจน์ตัวตน (e-KYC) เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้บริการ คุณสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ ที่นี่
2. Share Loan by NestiFly คืออะไร
ผู้ขอสินเชื่อ
1. ใครสามารถขอสินเชื่อผ่าน Share Loan by NestiFly ได้บ้าง
ผู้ที่สามารถขอสินเชื่อ Share Loan by NestiFly ได้จะต้องมีคุณสมบัติดังนี้
- บุคคลธรรมดา
- อายุ 20 ปีขึ้นไป
- สัญชาติไทย และพำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย
- มีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์และ “บัญชีหลักทรัพย์เพื่อการลงทุนและรักษาหลักทรัพย์” (บัญชี P2P) กับบริษัทหลักทรัพย์ บล. บัวหลวง จำกัด
- มีคะแนนรายงานเครดิต (NCB Score) ไม่ต่ำกว่า “DD”
3. การขอสินเชื่อ Share Loan by NestiFly ต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง
ผู้ขอสินเชื่อจะต้องมีรายงานข้อมูลเครดิต (NCB) แบบมีคะแนนเครดิต ในกรณีที่ผู้ขอสินเชื่อมีรายงาน NCB แล้ว ให้ตรวจสอบความครบถ้วนของเอกสาร ดังนี้
- รายงาน NCB ต้องมีอายุไม่เกิน 6 เดือน
-
รายงาน NCB ต้องมีคะแนนเครดิตระบุในหน้าสุดท้ายของรายงาน
หากไม่มีรายงาน NCB ผู้กู้จะต้องขอรายงาน NCB โดยระบุการขอเป็นแบบมีคะแนนเครดิตด้วย สามารถขอได้ที่จุดบริการของเครดิตบูโร
(ทาง NTF และ BLS ไม่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการขอรายงานดังกล่าว)
4. วงเงินที่สามารถขอสินเชื่อได้คือเท่าไหร่
วงเงินสินเชื่อขั้นต่ำที่ผู้ขอสินเชื่อสามารถขอได้คือ 50,000 บาทต่อสัญญา และได้สูงสุดไม่เกิน 5,000,000 บาทต่อสัญญา
5. สินเชื่อ Share Loan มีค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมอะไรบ้าง
ในกรณีทั่วไป การขอสินเชื่อผ่านแพลตฟอร์ม NestiFly จะมีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ดังนี้
- ค่าธรรมเนียมการใช้บริการแพลตฟอร์ม ประมาณ 1.5% - 2.0% ของมูลค่าสินเชื่อ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการขอสินเชื่อ
-
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) โดยคำนวณจาก 7% ของค่าธรรมเนียมในการใช้บริการแพลตฟอร์ม -
ค่าอากรแสตมป์ ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร หมวด 6 อากรแสตมป์ (ทุกจำนวนเงิน 2,000 บาท หรือเศษของเงิน 2,000 บาท แห่งยอดเงินที่กู้ยืม จะมีค่าอากรแสตมป์ 1 บาท)
-
ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ กรณีที่เกิดการบังคับขายหลักประกัน ผู้ขอสินเชื่อจะต้องเสียค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ตามที่บริษัทหลักทรัพย์กำหนด -
ดอกเบี้ยผิดนัด กรณีผู้ขอสินเชื่อไม่สามารถชำระคืนสินเชื่อได้ภายในเวลาที่กำหนดตามสัญญาเงินกู้ ผู้ขอสินเชื่อจะต้องจ่ายค่าดอกเบี้ยผิดนัดในอัตรา 15% ต่อปี โดยคิดเป็นรายวัน
6. กระบวนการขอสินเชื่อต้องใช้เวลานานเท่าไหร่
หลังจากผู้ขอสินเชื่อกดยืนยันการส่งคำขอสินเชื่อแล้ว ระบบจะใช้เวลาอย่างน้อย 1 วันในการพิจารณาคำขอสินเชื่อ และถ้าคำขอสินเชื่อผ่านการอนุมัติ ระบบจะเริ่มจับคู่คำขอสินเชื่อทันที ในกรณีที่มีเงินพร้อมลงทุนตรงกับเงื่อนไขในคำขอสินเชื่อ ผู้ขอสินเชื่อจะได้รับเงินอย่างเร็วที่สุดภายใน 1 วันทำการ
7. ผู้ขอสินเชื่อสามารถยกเลิกคำขอสินเชื่อได้หรือไม่
ผู้ขอสินเชื่อสามารถยกเลิกคำขอสินเชื่อได้ตลอดเวลาก่อนการจับคู่กับเงินลงทุนจะสำเร็จ โดยผู้ขอสินเชื่อสามารถกดปุ่ม “ยกเลิกคำขอสินเชื่อ” ได้ในหน้า My Port ในแอปพลิเคชั่น Share Loan by NestiFly
8. ผู้ขอสินเชื่อจะได้รับเงินกู้จากช่องทางไหน
เมื่อคำขอสินเชื่อได้รับการจับคู่ ผู้ขอสินเชื่อจะได้รับเงินผ่านทางบัญชีหลักทรัพย์เพื่อการลงทุนและรักษาหลักทรัพย์ หรือ บัญชี P2P และผู้ขอสินเชื่อสามารถถอนเงินออกจากบัญชีดังกล่าวได้ ตามขั้นตอนการถอนเงินออกจากบัญชีหลักทรัพย์บัวหลวงทั่วไป
9. ขั้นตอนในการชำระคืนสินเชื่อทำอย่างไร
ระบบจะแจ้งวันครบกำหนดชำระคืนสินเชื่อให้ผู้ขอสินเชื่อทราบล่วงหน้า 7 วัน
ในวันที่ครบกำหนดชำระคืนสินเชื่อ ให้ผู้ขอสินเชื่อนำฝากยอดชำระคืนสินเชื่อเข้าในบัญชีหลักทรัพย์เพื่อการลงทุนและรักษาหลักทรัพย์ (บัญชี P2P) ภายในเวลา 14.00 น. หลังจากนั้นระบบจะทำการตัดยอดเพื่อโอนคืนให้แก่นักลงทุนโดยอัตโนมัติ หากไม่สามารถชำระคืนได้ครบถ้วนในเวลาดังกล่าว จะถือว่าผู้ขอสินเชื่อผิดนัดชำระและระบบจะดำเนินการตามขั้นตอนการบังคับขายหลักประกันต่อไป
2. ผู้ขอสินเชื่อสามารถใช้หุ้นหลายตัวมาเป็นหลักประกันได้หรือไม่
ผู้ขอสินเชื่อสามารถนำหุ้นกี่ตัวมาเป็นหลักประกันก็ได้ แต่หุ้นทั้งหมดจะต้องอยู่ในรายชื่อหลักประกันที่ แพลตฟอร์ม NestiFly กำหนด
หากหุ้นที่นำมาใช้ใน 1 คำขอสินเชื่อมาจากทั้งกลุ่ม MAX50 และ MAX40 ระบบจะสร้างแยกการทำสัญญาเงินกู้เป็น 2 สัญญาสำหรับหุ้นแต่ละกลุ่ม
นักลงทุน
1. ใครสามารถลงทุนผ่าน Share Loan by NestiFly ได้บ้าง
สำหรับนักลงทุนบุคคลธรรมดา
-
บุคคลธรรมดา
-
อายุ 20 ปีขึ้นไป
-
สัญชาติไทย และพำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย
-
มีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์และ “บัญชีหลักทรัพย์เพื่อการลงทุนและรักษาหลักทรัพย์” (บัญชี P2P) กับบริษัทหลักทรัพย์ บล. บัวหลวง จำกัด
-
ลงทุนผ่าน P2P Lending Platform ทุกรายรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท ในรอบ 12 เดือน (self-declare)
สำหรับนักลงทุนรายนิติบุคคลหรือรายสถาบัน
-
ผู้ลงทุนสถาบัน กิจการร่วมทุน นิติบุคคลร่วมทุน หรือผู้ลงทุนที่มีลักษณะเฉพาะ ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนว่าด้วยการเสนอขายหลักทรัพย์ผ่านระบบคราวด์ฟันดิง โดยสามารถให้สินเชื่อได้โดยไม่จำกัดจำนวน
2. นักลงทุน Share Loan by NestiFly ต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง
หากนักลงทุนมีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์บัวหลวงอยู่แล้ว นักลงทุนสามารถลงทุนผ่านแพลตฟอร์มได้เลยโดยไม่ต้องใช้เอกสารใด ๆ เพิ่มเติมนอกจากเอกสารสำหรับขั้นตอนการพิสูจน์ตัวตน (e-KYC) แต่ถ้านักลงทุนยังไม่มีบัญชีหลักทรัพย์บัวหลวง นักลงทุนจะต้องเตรียมเอกสารสำหรับการพิสูจน์ตัวตนและการเปิดบัญชีบัวหลวงใหม่
6. นักลงทุนสามารถยกเลิกคำสั่งลงทุนได้หรือไม่
การลงทุนผ่าน NestiFly จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อนักลงทุนกำหนดเกณฑ์การลงทุนและโอนเงินเข้าบัญชี P2P
7. การลงทุนใน Share Loan by NestiFly มีค่าธรรมเนียมอะไรบ้าง
ในปัจจุบัน แพลตฟอร์ม NestiFly ยังไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากการลงทุนจากนักลงทุน
8. ระบบมีวิธีการคัดเลือกหลักทรัพย์ที่นำมาเป็นหลักประกันอย่างไร
NestiFly คัดเลือกหลักทรัพย์ที่สามารถนำมาเป็นหลักประกันได้ จากการทดสอบความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ย้อนหลัง โดยหลักทรัพย์ที่มีความผันผวนของราคาสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ทาง NestiFly จะไม่อนุญาตให้นำมาเป็นหลักประกัน เพื่อบริหารความเสี่ยงให้แก่นักลงทุน โดย NestiFly จะมีการทบทวนรายชื่อหุ้นทุกๆ 3 เดือน
นอกจากนี้ในกรณีที่มีเหตุการณ์ผิดปกติที่อาจส่งผลให้หุ้นตัวใดตัวหนึ่งมีความผันผวนของราคารุนแรง ระบบสามารถรถอดหุ้นตัวดังกล่าวออกจากรายชื่อหุ้นหลักประกันได้ทันที
10. NestiFly มีความถี่ในการประเมินมูลค่าหลักประกันมากน้อยเพียงใด
ทุกสิ้นวัน หลังจากทราบราคาปิดจากตลาดหลักทรัพย์
4. นักลงทุนสามารถปล่อยวงเงินลงทุนได้เท่าไหร่
-
กรณีบุคคลธรรมดา วงเงินสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท ในรอบ 12 เดือน -
นักลงทุนกำหนดนวงเงินลงทุนสูงสุดต่อสัญญา (10,000 - 50,000 บาท)
-
-
กรณีผู้ลงทุนสถาบัน กิจการร่วมลงทุน นิติบุคคลร่วมลงทุน หรือผู้ลงทุนที่มีลักษณะเฉพาะ ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนว่าด้วยการเสนอขายหลักทรัพย์ผ่านระบบคราวด์ฟันดิง สามารถให้สินเชื่อได้โดยไม่จำกัดจำนวน
3. นักลงทุนสามารถกำหนดเกณฑ์การลงทุนอะไรได้บ้าง
-
กลุ่มหุ้นที่สามารถใช้เป็นหลักประกัน (MAX50 และ/หรือ MAX40) -
ระดับ LTV สูงสุดที่ยอมรับได้ (LTV 30% - 50% -
ระยะเวลาสูงสุดในการปล่อยสินเชื่อ (3 - 6 เดือน) -
จำนวนเงินลงทุนสูงสุดต่อสัญญา (10,000 - 50,000 บาท)
5. นักลงทุนจะสามารถโอนเงินเข้า-ออกจากบัญชี P2P ได้อย่างไร
นักลงุทนสามารถโอนเงินเข้าบัญชี P2P ได้โดยตรงเช่นเดียวกับบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ทั่วไป เช่น ผ่านช่องทาง Bill Payment, E-ATS หรือช่องทางอื่นๆ ที่ บล. บัวหลวง กำหนด หรือจะโอนระหว่างบัญชีอื่นๆ และบัญชี P2P ก็ได้ โดยคุณสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่
9. หากหุ้นที่เป็นหลักประกันที่ปล่อยสินเชื่อไปแล้วหลุดออกจากดัชนี SET100 NestiFly จะดำเนินการอย่างไร
NestiFly จะทำการปรับรายชื่อหลักทรัพย์ที่อนุญาตให้นำมาเป็นหลักประกันให้สอดคล้องกัน แต่สำหรับสัญญาเงินกู้ที่ปล่อยสินเชื่อไปแล้ว สัญญาดังกล่าวก็จะมีผลไปจนถึงวันครบกำหนด โดยทาง NestiFly ก็จะคอยติดตามมูลค่าหลักประกันอย่างใกล้ชิดตามปกติ
11. นักลงทุนสามารถดาวน์โหลดสัญญาเงินกู้ได้ที่ไหน
นักลงทุนสามารถตรวจสอบและดาวน์โหลดรายละเอียดสัญญาเงินกู้ (ฉบับไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของคู่สัญญา) ได้ในแอปพลิเคชัน Share Loan by NestiFly บนหน้า My Port
12. ในกรณีเงินที่ได้จากการบังคับขายหลักประกันทั้งหมด ไม่เพียงพอต่อการชำระคืนสินเชื่อจะทำอย่างไร
NestiFly จะให้เวลาผู้ขอสินเชื่ออีก 10 วันทำการ เพื่อนำเงินมาชำระสินเชื่อคงค้างและดอกเบี้ยผิดนัดหากผู้ขอสินเชื่อไม่สามารถนำเงินมาชำระได้ภายในวันและเวลาที่กำหนด NestiFly จะทำการระงับบัญชีผู้ใช้ และจัดส่งสัญญาฉบับเปิดเผยข้อมูลคู่สัญญาให้แก่นักลงทุนทุกราย เพื่อให้นักลงทุนนำนำไปใช้ดำเนินการทางกฏหมายต่อไป
13. นักลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนเพิ่มเติมจากการที่มูลค่าหลักประกันเพิ่มขึ้นหรือไม่
ไม่มี เนื่องจาก NestiFly จะทำการบังคับขายหลักประกันแค่ให้เพียงพอต่อการชำระคืนสินเชื่อเท่านั้น เงินส่วนเกินจากการบังคับขายหลักทรัพย์ค้ำประกันหรือหุ้นที่เหลืออยู่จะถูกส่งคืนให้ผู้ขอสินเชื่อ